เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ มิ.ย. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันพระ วันพระทางโลก ทางโลกเขา วันพระ เขาบอกวันพระไม่ได้มีหนเดียว วันพระไม่มีหนเดียวเพราะอะไร เพราะว่าเขาจะเอาไว้แก้แค้นไง เขาจะเอาคืนของเขา

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันพระวันบุญกุศล วันพระ วันโกนให้ทำบุญกุศลของเรา ถ้าทำบุญกุศลของเรา วันพระ วันพระเล็กไม่ลงอุโบสถ วันพระใหญ่เขาลงอุโบสถ เวลาไปวัดไปวาไปจำศีล ไปฟังธรรม ฟังธรรมขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อให้จิตนี้มีสติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ให้เห็นคุณค่าไง

สุขอันละเอียด เห็นไหม ดูสิ คุณธรรมๆ สุจริตธรรม มันเป็นเครื่องป้องกันหัวใจ แต่เราต้องการโลกธรรม ๘ ไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศไง อยากมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีคนยกย่องสรรเสริญ ไอ้นั่นมันของคู่ ของคู่คืออากาศ อากาศมันแปรปรวนตลอดเวลา สิ่งที่แปรปรวนตลอดเวลามันเป็นความจริงที่ไหน แต่คนก็กระเสือกกระสนกันนะ ของมันหยาบๆ ไง หยาบๆ ที่จะจับต้องได้ ที่จะเอามาประดับเกียรติไง

เขาบอกว่ามนุษย์สวมหัวโขนๆ คนหนึ่งมี ๔-๕ หัวโขน ใส่หน้ากากเข้าหากันไง

แต่ถ้ามีศีลมีธรรม มีความจริงใจต่อกัน ถ้ามีความจริงใจต่อกัน เราต้องจริงใจกับตัวเราเองก่อนไง การประพฤติปฏิบัติมันต้องจริงกับตัวเองก่อน ถ้าตัวเองมันจริงแล้วมีศีลมีสัตย์ มีศีลแล้วต้องมีสัจจะด้วย มีสัจจะ มีการกระทำ เห็นไหม

วันพระไม่ได้มีหนเดียว วันพระไม่ได้มีหนเดียวเขาให้คนที่อ่อนแอ เวลาคนอ่อนแอ คนที่ไม่มีการศึกษา คนที่ยังไม่มีความเข้าใจ ไปวัดไปวาไปฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันจะพัฒนาการของมันขึ้นไปไง วันพระไม่ได้มีหนเดียวเพื่อให้ไปฟังธรรม เพื่อให้จิตใจมีสติมีปัญญา มีความรู้ขึ้นมา

นักปฏิบัติก็เหมือนกัน เราปฏิบัติอยู่กับครูบาอาจารย์นะ วันพระ วันโกนไม่นอน ธรรมดาปกติการไม่นอนของเรา ไม่นอนมันก็เป็นความทรมานอันหนึ่งนะ พอไม่นอนเป็นความทรมานอันหนึ่ง มันก็ฝืนทนเอาๆ แต่วันพระ วันโกน มันชื่นใจ วันพระ วันโกน มันภูมิใจจะทำนะ ถ้าภูมิใจจะทำ ทำทำไม ทำถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันนี้ถวายพระพุทธเจ้า วันนี้ถวายพระธรรม วันนี้ถวายครูบาอาจารย์ ถวายพระสงฆ์ ถวายพระสงฆ์ มันมีเครื่องจูงใจ มันจูงใจให้ทำๆ

นี่ไง วันพระเขามีไว้ให้พัฒนาการ ให้พัฒนาหัวใจของเราขึ้นมา ให้ขวนขวาย ให้มีการกระทำ วันปกติ วันทำงาน เราทำของเราตลอดเวลาอยู่แล้ว ไอ้เรื่องการแข่งขันในหน้าที่การงาน การแข่งขันทางโลกการแข่งขันเพื่อเอาชนะคะคานกัน แต่เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมาต้องชนะตัวเองไง ถ้าชนะตัวเอง ถ้ามันเห็นคุณค่าของตัวเองมันจะมีการกระทำ

วันพระ วันพระไม่ได้มีหนเดียว...ใช่ วันพระมันเป็นปฏิทิน วันพระมันเป็นวันโคจร โลกมันหมุนไป วันจันทรคติ น้ำขึ้น น้ำลง สิ่งนี้มันเป็นโดยข้อเท็จจริงก่อนที่จะมีปฏิทินอีก แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางธรรมวินัย วางธรรมวินัยนี้ไว้ วันพระ วันโกนให้ไปวัดไปวากัน ไปวัดไปวากัน สิ่งที่แข่งขัน สิ่งที่มีความทุกข์ความยากมันก็มีประจำชีวิตอยู่แล้ว แต่ถ้าสิ่งที่จะเป็นจริงๆ ขึ้นมา ไปวัด วัดก็เห็นอยู่แล้ว เราผ่านวัดกันทุกคนแหละ คนที่เขามีศรัทธาความเชื่อเวลาผ่านวัดเขายกมือไหว้นะ ยกมือไหว้พระประธานในโบสถ์นั้น ในวัดนั้น เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตไง ก็ยกมือไหว้ให้เป็นสิริมงคลกับชีวิต เวลาศึกษาๆ ขึ้นมาแล้ว ธรรมวินัย ธรรมวินัย เวลาวินัยเป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะ

คำว่า “สมมุติๆ” สมมุตินี่สมมุติบัญญัติ บัญญัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมา บัญญัติขึ้นมาให้เป็นข้อห้ามๆ เราก็เคารพบูชากันนะ มันเป็นวิธีการ วิธีการ สถานะ กิริยาของใจ ใจมันพัฒนาของมันขึ้นไป มันต้องมีการพัฒนาขึ้นไป ถ้าเราไม่มีร่องมีรอย ไม่มีหนทางใช่ไหม ข้อวัตรปฏิบัติเป็นสาธารณะ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นคนที่มีการกระทำ ใครทำมากทำน้อยขึ้นมา จิตใจมันพัฒนาของมันขึ้นไป

ธรรมวินัยๆ ก็เหมือนกัน นี่ไง เรามีพาหนะมาวัดมาวา ไปสถานที่ใดก็แล้วแต่ ไปถึงสถานที่นั้นเราจอดรถไว้ที่นั่น เราต้องขึ้นไปที่นั่น นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นเครื่องดำเนินๆ มันมีความสำคัญนะ มันมีความสำคัญตอนประพฤติปฏิบัติ ถ้าความสำคัญ เรากอดความสำคัญว่าเป็นเราๆ มันผ่านสิ่งนั้นไปไม่ได้ แต่ถ้ามันจะผ่านสิ่งนั้นไปไม่ได้ มันต้องเป็นความจริงสิ มันไม่ใช่เรามักง่าย เราจะทิ้งไปก่อนว่าอันนี้มันไม่จำเป็นๆ

ครูบาอาจารย์เราท่านบอกมันเป็นสมมุติ สมมุติทั้งนั้นน่ะ มันเป็นกิริยาที่เราจะข้ามมันไป แล้วเราก็ไม่ทำอะไรเลย ไม่ทำอะไร ถ้าผลไม้ไม่มีเมล็ด ไม่ออกดอก มันจะเกิดเป็นผลไปไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันไม่มีการกระทำ มันไม่มีการกระทำอะไรเลย มันบอกว่างๆ ว่างๆ รู้เท่าทันธรรมะ รู้แจ้งหมดแล้ว...มันแจ้งอะไรน่ะ กิเลสมันปลิ้นปล้อนทั้งนั้นน่ะ กิเลสมันปลิ้นปล้อนในหัวใจ

เวลาเราว่าเราบวชมา เราเป็นนักปฏิบัติขึ้นมา เราจะมาชำระล้างกิเลส เราจะมีธรรมโอสถในหัวใจ เรามีคุณธรรมในใจๆ สิ่งที่มันมีความสุข ความสงบ ความระงับ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

เราแสวงหากันนะ แสวงหากันมาทั่วเพื่อความสุขๆ ดูสิ เขาเที่ยวกันรอบโลก เขาว่าเขามีความเจริญๆ แต่หัวใจเขาแห้งผาด แต่ของเรา เราจะอยู่ที่ไหนก็ได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราพยายามทำหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจมันสงบระงับเข้ามา โลกก็คือโลก ธรรมก็คือธรรม ร่างกายก็เป็นร่างกาย จิตใจก็เป็นจิตใจ แล้วจิตใจที่มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่ มันครอบงำอยู่ จิตใจที่มันปล่อยวางชั่วคราว การที่จิตสงบคือมันวางกิเลสไว้ชั่วคราว

ถ้ามันวางกิเลสไม่ได้ มันสงบไม่ได้หรอก สิ่งที่ทำกันที่มันสงบไม่ได้ ที่มันทุกข์มันยากอยู่ก็เพราะกิเลสนะ สัญชาตญาณของมนุษย์ สัญชาตญาณของพลังงาน พลังงานทั้งหมดมันก็ส่งออกทั้งนั้นน่ะ พลังงาน ธรรมชาติของมันก็เป็นความคิดเรานี่แหละ แล้วพลังงานอันนี้มันก็มีกิเลสนอนเนื่องมา พอกิเลสนอนเนื่องมา ความคิดทั้งหมดเป็นกิเลสทั้งหมด ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาด้วยกิเลส มีความจำมากน้อยแค่ไหนก็ศึกษามาเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ เป็นแนวทาง ยังไม่ได้ปฏิบัติเลย เวลาปฏิบัติขึ้นมาต้องให้เป็นความจริงของมันขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันต้องมีการกระทำแบบนี้ การกระทำแบบนี้ แล้วเวลาการกระทำนะ สงสัยไปหมด นี่ไง โดยธรรมชาติของพลังงานมันส่งออก

นี่ก็เหมือนกัน ในภาคของความคิด พลังงานส่งออก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเป็นไปทั้งหมด แล้วมันจะทำอย่างไรให้สงบล่ะ แค่ทำความสงบมันทำไม่เป็นหรอก แล้วมันทำไม่ใช่ ที่ทำกันอยู่นี่ทำผิดหมด ผิดหมดเพราะอะไร ผิดหมดเพราะมันเป็นอารมณ์ แล้วเราสร้างความคิด เราไปเอาความคิดใหม่ไง

แต่เวลาเราพุทโธๆ มันเป็นความคิดไหม พุทโธเป็นความคิดนะ แต่ความคิด เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา จะไปเกาะมันก็แหยง เกาะมันแล้วก็ไม่มีความสุข ถ้าไปคิดตามสัญชาตญาณ ไปคิดตามอารมณ์ของตัว ไปคิดมักมากอยากใหญ่ อู้ฮู! สนุกครึกครื้น ยิ่งคิดยิ่งสนุก แต่ถ้าพุทโธมันจืดมันชืด มันเบื่อมันหน่าย

ความคิดเหมือนกัน เห็นไหม แต่เวลามันไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำไมมันชอบนักล่ะ เวลามันคิดไปโดยสมุทัย โดยความไม่รู้เท่าทัน มันชอบ ทำไมมันชอบล่ะ ทำไมมีรสมีชาติ ทำไมคิดแล้วมันทุกข์มันยาก ทำไมคิดแล้วน้ำหูน้ำตามันไหล ทำไมเวลาคิดพุทโธนี่แหม! แหม! เลยนะ มันหันหน้าเข้าหาพุทโธมันไม่เอาเลย ก็ความคิดเหมือนกัน นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนจากพลังงานอันนั้นแหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้โดยความชอบธรรม เพราะความชอบธรรมอันนั้นมันถึงรู้แจ้งในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมชาติของใจมันเป็นแบบนี้ ธรรมชาติของใจ

แต่เราบอกธรรมะเป็นธรรมชาติ มองไปเลย สภาวะของสภาวะอากาศไง ธรรมชาติ จักรวาลนี่ธรรมชาติเลย เรารู้ไปหมดเลย ธรรมชาติ ส่งออกไปหมด

แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงๆ ขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ คำว่า “หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ” นี่พุทธานุสติ ถ้าพุทธานุสติ พุทธะมันเป็นผู้รู้อยู่แล้ว แต่ผู้รู้ สัญชาตญาณมันส่งออก เราพยายามพุทโธของเรา พุทโธของเรา เปลี่ยนความคิด ความคิดที่มันชอบคิด ความคิดที่มันพอใจ ความคิดที่มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

เวลาถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ตรึกในธรรมๆ เวลาพระโมคคัลลานะง่วงเหงาหาวนอน เป็นพระโสดาบันนะ นั่งสมาธิสัปหงกโงกง่วงไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยฤทธิ์เลย “เธอจงตรึกในธรรมๆ ตรึกในธรรม คิดในธรรมะนี่ไง อย่าให้มันง่วงเหงาหาวนอนไง เอาน้ำลูบหน้า ให้แหงนหน้าดูดาว แล้วถ้ามันไม่ไหวก็นอนเสีย นอนแล้วตื่นขึ้นมาค่อยปฏิบัติ”

นี่ก็เหมือนกัน มันตรึกในธรรมๆ ตรึกในธรรมแล้วมันมีสติมีปัญญาของมันขึ้นมา ถ้าตรึกในธรรมด้วยสติด้วยปัญญา มันไม่ใช่ไปคิดโดยสัญชาตญาณอย่างนั้นน่ะ พุทโธๆ ก็เหมือนกัน มันเป็นความคิดทั้งนั้นน่ะ ถ้าความคิดอย่างนี้

วันพระๆ วันพระคือพุทธะ พุทธะคือในหัวใจของเรา วันพระ เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะประพฤติปฏิบัติบูชาท่านๆ เวลาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เท่ากับเปิดเผยใจของตนนั่นแหละ ถ้าเปิดเผยใจของตนนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา พระอัครสาวกต่างๆ เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็เป็นอันเดียวกัน เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานนะ “เห็นสมควรแก่เวลาของเธอเถิด”

เป็นเวลาของเธอไง จะว่าอยู่กับเราก่อน รั้งไว้ก่อน ไม่มี นี่มันเหนือธรรมชาติ เหนือทุกอย่าง พอมันเหนือขึ้นมา มันเหนือที่ไหนล่ะ มันเหนือในใจของเรานี่ไง ถ้าใจของเรายังไม่เหนือ มันลังเลสงสัยไปหมด มันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็ท่องสูตรทฤษฎีอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็ตรึกไปๆ กิเลสก็ปลิ้นปล้อน ปลิ้นปล้อนมันก็ว่ามันรู้มันเห็นของมันนั่นน่ะ รู้เห็นโดยอะไร รู้เห็นโดยกิเลสไง สัทธรรมปฏิรูป มันสร้างมันสมของมันขึ้นมาเอง มันไม่เป็นความจริงหรอก

ถ้าเป็นความจริงมันไม่ขัดไม่แย้งกับธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แล้วไม่มีความสงสัยเลย ไม่มี ชัดเจนมาก มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

แม้แต่ความสุขๆ ดูสิ ความสุขคนที่วุฒิภาวะอ่อนแอ พอจิตสงบขึ้นมา “โอ้โฮ! นิพพานเป็นอย่างนี้เอง” ติดสมาธิอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเวลามันเสื่อมไป เสื่อมไปก็ยังมีแต่ความจำไง เพราะมันจะทรงอยู่ไม่ได้ สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ความรู้สึกนึกคิดมันเปลี่ยนแปลงตลอดไหม มันมีอะไรคงที่ได้บ้าง ไม่มี ความคิดคงที่ไม่ได้ ดูสิ แม้แต่จิตของเรามันก็คงที่ไม่ได้ แต่ธรรมชาติมันมหัศจรรย์ไง สันตติๆ ธาตุรู้ สันตติมันสืบต่อๆ ตลอดไง สืบต่ออยู่บนกาลเวลา สืบต่อบนกาลเวลาก็เป็นอายุขัยไง เป็นอายุขัยก็เป็นสิ่งมีชีวิตไง

สิ่งมีชีวิตมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วเวลาที่จะสิ้นกันมันสิ้นกันที่ไหน มันต้องไปสิ้นกันที่ฐีติจิตไง จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส ข้ามพ้นมันข้ามอย่างไร จิตเดิมแท้ก็ไม่เห็น ความรู้สึกก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย แต่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้า

ธรรมะพระพุทธเจ้าใครๆ ก็รู้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาแสดงธรรมวินัยนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารำพึงนะ “เราเป็นคนวาสนาน้อย เพราะอายุเราแค่ ๘๐ ปี” วางธรรมวินัยนี้ไว้เพื่อสืบต่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง

เราเป็นสาวกสาวกะ ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง พวกเรามันมีบุญกุศลตรงนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบากบั่นมานะ กว่าจะได้สิ่งนี้ขึ้นมา แล้วเราขึ้นมา เราก็ชุบมือเปิบมา ชุบมือเปิบมันก็เป็นทฤษฎี เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเข้าใจเรื่องนี้ทั้งนั้นน่ะ เข้าใจถึงปุถุชนไง เวลาเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา ผู้ที่ไม่เข้าใจก็ให้เขาเสียสละทานเสียก่อน คนที่เสียสละทานเขาเป็นผู้ที่จิตใจเขากว้างขวางใช่ไหม เขายอมรับฟังเหตุฟังผลใช่ไหม

คนตระหนี่ถี่เหนียวปากพูดอย่าง จิตคิดอย่างหนึ่ง ปากพูดอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แม้แต่ตัวมันเองมันยังไม่มีสัตย์เลย แม้แต่ตัวมันเองมันยังพลิกแพลงเลย ไม่มีสัจจะความเป็นจริงของตน แล้วตนจะก้าวเดินไปได้อย่างไร เราจะมีสิ่งใดเป็นแนวทางในการก้าวเดินของใจ ใจไม่มีสัจจะ ไม่มีสิ่งใดเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจเรื่องนี้ทั้งนั้นน่ะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจเรื่องกิเลสไง กิเลสมีอวิชชาคือปู่ของมัน ปู่มันมีลูก มันมีหลาน มีเหลน แล้วพวกเราไม่เคยเห็นอะไรเลย ไม่เคยรู้อะไรเลย แล้วศึกษาธรรมๆ ไง

เวลาแก่นของธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ธรรมอันนี้ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหามา ๖ ปี ถ้าไม่รู้ก็ไม่บอก ไม่รู้ก็ไม่เคยสอน ไม่รู้ก็ยังเก็บไว้ในหัวใจ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากอยู่ๆ ถึงเสร็จแล้วมันจนตรอก มันไปไม่ได้แล้วแหละ เพราะศึกษาแล้วในโลกมีเท่านี้ โลกๆ สิ่งที่ศึกษามาพระพุทธเจ้าศึกษามาแล้ว เวลาถึงจริงๆ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้เองโดยชอบ ตั้งแต่บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ เวลามันสำเร็จในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม

สิ่งที่มันเกิดขึ้นๆ มันจะสำเร็จได้อย่างไรล่ะ มันจะทำขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ แล้วจิตใจที่มันเวลาวางธรรมวินัยจะภาวนา ภาวนาอย่างไรล่ะ ถ้ามันภาวนา ถ้าจิตเดิมแท้นี้มันไม่เข้าใจ จิตเดิมแท้มันไม่รู้จักตัวมันเอง จิตเดิมแท้ ความสงบของใจก็ไม่ได้ คนที่ทำความสงบของใจไม่ได้คือคนที่ไม่มีกำลัง คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่นอนติดเตียงอยู่ บอกให้มันไปไถนา มันทำได้ไหม

คนที่จะไถนามันต้องร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ใช่ไหม เขาไปไถนา เขาไปหว่านข้าว หว่านพืช เขาไปเก็บของเขา เพราะเขาแข็งแรงของเขา เขาไม่ใช่คนป่วยติดเตียง คนป่วยติดเตียงทำนาไม่ได้ จิตใจที่มันไม่สงบระงับมันเหมือนคนป่วยติดเตียงนั่นแหละ มันติดกิเลสไง ติดแต่ความคิดของตนไง ติดแต่ตัณหาความทะยานอยากไง คิดแต่คาดหมายๆ หมดนะ ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนป่วยติดเตียงมันก็อ่านหนังสือได้ คนป่วยติดเตียงมันก็มีความรู้ได้

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็รู้ได้ แต่ตัวเองไม่สามารถยืนขึ้นมาโดยตัวเองได้ไง ถ้ามันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ คนคนนั้นต้องพัฒนาขึ้นมา คนคนนั้นต้องหายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย คนคนนั้นต้องแข็งแรงขึ้นมา จิตนั้นมันต้องเป็นอิสระ จิตนั้นต้องมีพลังงาน จิตนั้นต้องมีกำลัง ถ้ามีกำลังขึ้นมาแล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

ตั้งแต่ปุถุชน กัลยาณปุถุชน ปุถุชนคนหนา คนหนาไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นสิ่งใด คนหนาก็มีแต่ปัญญาหยาบ มันหนาอย่างนั้นมันก็คิดของมันไปอย่างนั้นน่ะ แล้วก็จินตนาการไปอย่างนั้นน่ะ จิตเป็นได้ทั้งนั้นน่ะ จิตมันหลอก เวลาคิดว่าเราจะมีคุณธรรมๆ ไง เวลาปฏิบัติขึ้นมามันเป็นไปได้หลากหลายนัก มันเป็นทั้งหมดแหละ แล้วเวลาพูดก็พูดให้เหมือนไง พูดให้เหมือน แต่มันไม่ใช่ มันแก้กิเลสไม่ได้ มันมีความสงสัยแน่นอน เพราะมันไม่มีสิ่งใดหรอกที่มันจะทรงตัวอยู่ได้ ไอ้ที่ว่าใช่ๆๆ นั่นน่ะมึงไม่สงสัยหรือ ไอ้ที่ใช่ๆ ไม่งงหรือ แค่ลังเลสงสัยมันใช้ไม่ได้แล้ว มันกระจ่างแจ้งไปหมดนะ ถ้ามันกระจ่างแจ้งไปหมด มันเป็นอย่างไร นี่ไง เราถึงต้องพยายามของเราไง

พยายามของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ มันก็เป็นความคิดเหมือนกัน เวลาบอกคนทุกข์เพราะความคิดนะ แล้วอยากจะมีความสุขโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรเลย ให้มันมีคุณธรรมในหัวใจ แล้วก็ต้องมาบังคับให้คิดอีก โอ้โฮ! ทุกข์มากเลย มาบังคับให้คิดพุทโธๆ มันคิดมาร้อยแปดพันเก้าเลย คิดแล้วมันไม่จบ แล้วมาคิดพุทโธๆ มันจะจบได้อย่างไรล่ะ

เป็นความคิดนะ ตั้งสติไว้นั่นมันหยาบๆ พอพุทโธๆ จนมันคล่องตัวขึ้น พุทโธจนจิตพอมันเกาะแล้วๆ อาหาร อาหารถ้าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ เวลากินเข้าไปแล้วสุขภาพมันจะแข็งแรง อาหารรสจัด อาหารสิ่งที่เป็นสารพิษ กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกาย ไม่ดีเลย ความคิดที่คิดร้อยแปดมันทำให้มีแต่ความเร่าร้อน ทำให้มีแต่ความทุกข์ความยากไง

เวลาคิดพุทโธๆ เวลามันผ่านไปๆ อืม! ไอ้ความทุกข์ที่เคยได้อย่างนั้นมันชักเบาลงแล้ว ไอ้ความทุกข์ที่เวลามันคิดทีไรมันเจ็บปวดเจ็บช้ำมันน้อยลง เพราะมันพุทโธๆ เรื่อยๆ จนพยายามพุทโธต่อเนื่อง พุทโธต่อเนื่อง พุทโธมันคล่องตัวขึ้น มันก็พุทโธได้

ใหม่ๆ จะพุทโธไม่ได้หรอก พุทโธแล้วก็แฉลบไปคิด เพราะมันเคยคิด มันเคย สันดานมันคิดจนชำนาญ เวลาพุทโธนี่คือบังคับ มีช่องวาง ไปแล้ว มีช่องวาง ไปแล้ว ฝึกหัดจนเอาจริงเอาจังนะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านฝึกหัดใหม่ๆ มันเหมือนน้ำป่ามันไหลมา เราเอาฝ่ามือไปกั้นไว้ เราบอกให้น้ำป่าหยุดหมดเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก น้ำป่ามานะ เราก็ถมตรงนั้น กั้นตรงนี้ ปิดตรงนั้นนะ จนกว่ามันจะกั้นได้

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดที่มันถาโถมมา ธรรมชาติของมันเป็นอย่างนั้นน่ะ แล้วถ้าธรรมชาติของคน บางคนน้ำก็ไม่รุนแรงเกินไปเพราะความคิดมันดูแลได้รักษาได้ เขาสร้างอำนาจวาสนามาของเขา เขาทำของเขามาก็เป็นประโยชน์กับเขา เราทำของเรามาอย่างนี้ เราก็ต้องจริงจังของเราอย่างนี้ เวลาพิจารณาขึ้นไป เวลามันละเอียดขึ้นๆ นะ พุทโธ ถ้าจิตมันไม่ลงนะ มันจะเห็นเป็นใสเลย เห็นลมหายใจใสๆ เลย แต่จิตมันไม่สงบ

เวลาจิตมันสงบ สงบแล้ว ตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สงบระงับเข้าไปจนสักแต่ว่า มหัศจรรย์ มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์หัวใจนี้ มหัศจรรย์อยู่คนเดียวนั่นแหละ ไม่มีใครรู้กับเราหรอก ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้ว เว้นไว้แต่ครูบาอาจารย์ที่ทำมาแล้วท่านรู้ของท่าน มันเป็นความมหัศจรรย์ ไม่เป็นอย่างที่พูดกันดาดเดื่อนอย่างนี้หรอก

มันพูดกันดาดเดื่อนมันพูดกันแบบโลกๆ “ว่างๆ ว่างๆ” หมาเราก็ว่าง ผูกโซ่มันไว้ มันนอนนิ่งเลย มันไม่ยุ่งกับใครหรอก มันไม่เป็นความจริง

ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันเก็บไว้ในหัวใจเลย แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา แล้วปัญญามันเกิดขึ้น นี่ไง วันพระ วันพระมาวัดมาวามาทำบุญกุศลของเรา ฟังธรรมๆ เพื่อให้จิตใจมันมีปัญญาขึ้นมา แล้วฝึกหัดทำของเรา ฝึกหัดทำของเรา จนถึงที่สุด ถ้ามันเป็นพระในใจ พระในใจแล้ว นั่นน่ะวันพระอย่างนั้นสำคัญ

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีพระในใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมไว้ที่ใจ ท่านเคารพบูชาอยู่แล้ว จะวันพระหรือไม่วันพระ ทุกวันทุกเวลามันเป็นพระอยู่แล้ว ทุกวันทุกเวลาหัวใจมันเข้มแข็งอยู่แล้ว ทุกวันทุกเวลามันอยู่ในนั้นอยู่แล้ว

แต่ของเราปุถุชนคนหนา เราต้องอาศัยให้มันเชิดชูให้หัวใจมันชุ่มชื่น ให้มีสิ่งใดดึงให้เราให้มีที่พึ่งที่อาศัย วันพระ วันโกนเพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม วันนี้วันพระ เอวัง